การชุมนุมกับความเสียหายต่อเศรษฐกิจ
21 เมษายน 2553

ดร.โสภณ พรโชคชัย
sopon@thaiappraisal.org www.facebook.com/dr.sopon4

          ในขณะนี้มีผู้รู้หลายสำนักออกมาแสดงความเห็นว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงก่อให้เกิดความพินาศแก่เศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ผมมีความเห็นต่าง
          ความวุ่นวายทางการเมืองนั้น อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในห้วงเวลาหนึ่ง กรณีตัวอย่างที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งก็คือเหตุการณ์การจลาจลของวัยรุ่นที่ไม่ใช่ผิวขาวในฝรั่งเศส เมื่อปี 2548 ซึ่งมีการเผารถยนต์เกือบหมื่นคัน และกินเวลายาวนานนับเดือน นอกจากนั้นยังเกิดซ้ำในปี 2550 และไม่แน่ว่าในอนาคตจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสในอนาคตอันใกล้อีกหรือไม่
          ความเสียหายจากเหตุการณ์ข้างต้นนี้ คงจะสูงมากจนหาค่ามิได้เลยหากประเมินเป็นรายวันแบบที่นักวิชาการไทย สมาคมธุรกิจและเจ้าของธุรกิจใหญ่น้อยออกมาประกาศให้ทราบนั้น ดังที่ทราบกันว่าฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวประมาณ 80 ล้านคนต่อปี ในห้วงเวลาจลาจลดังกล่าว จำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปก็คงพอ ๆ กับที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยทั้งปีเลยทีเดียว
          เหตุการณ์ร้ายแรงอีกกรณีหนึ่งก็คือ การวางระเบิดในเมืองบาหลี ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2545 จนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 202 คน และเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2548 เหตุการณ์ร้ายแรงนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวหดหายลงไปเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวเกิดความไม่มั่นใจในความปลอดภัยไปอีกนานนับปี
          การชุมนุมทางการเมืองที่เนิ่นนานนับเดือน ๆ มีปรากฏให้เห็นทั้งในไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศจนถึงขั้น “โคม่า” แต่อย่างใด เพราะเศรษฐกิจกับการเมืองแม้สัมพันธ์กันแต่ก็แตกต่างกันโดยพื้นฐาน นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าใจได้ว่าการเมือง ย่อมแก้ไขด้วยการเมืองกันไป
          แต่วิกฤติการณ์ทางการเมืองจะร้ายแรงและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างประเมินค่ามิได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ใช้อาวุธปราบปรามอย่างรุนแรง เช่นที่เกิดขึ้นในกรณีปราบปรามประชาชนของพม่าเมื่อ พ.ศ.2531 ซึ่งจนถึงวันนี้เศรษฐกิจของพม่าก็ยังไม่ฟื้น พวกที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารของพม่าก็ลงต่อสู้ใต้ดิน รัฐบาลทหารก็ไม่ค่อยมีเวลาทำงานเพราะต้องคอยค้ำจุนบัลลังก์ของตนเองเป็นสำคัญ และอีกกรณีหนึ่งคือเหตุการณ์เทียนอันเหมินของจีน เมื่อ พ.ศ.2532 ซึ่งรัฐบาลจีนก็ยังพยายามแก้ภาพพจน์จนถึงวันนี้
          ผมไม่ได้เข้าข้างคนเสื้อแดง แต่ผมขอตำหนิรัฐบาลที่สร้างบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวให้เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครโดยไม่จำเป็น เช่น
          • การส่งทหารนับพัน ๆ นายไปอยู่เต็มถนนสีลม จนกลายเป็นม็อบสีเขียว
          • การส่งรถหุ้มเกราะหรือรถจี๊ปไปประจำการตามสี่แยก
          • การส่งกองกำลังจำนวนมากมายไปประจำการตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ อย่างเอิกเกริก
          • การส่งพลซุ่มยิงไปประจำการตามตึกต่าง ๆ อย่างกับกำลังทำสงครามกลางเมือง
          • การส่งทหารไปประจำการทั้งในและนอกสนามบินสุวรรณภูมิ จนนักท่องเที่ยวตกใจ
          • การที่รัฐบาลส่งเสริมให้มีม็อบที่สนับสนุนฝ่ายตนออกมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง
          • การที่รัฐบาลย้ายที่ทำการเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร

          นอกจากนี้การสร้างภาพว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ มีระเบิดร้ายแรง ระเบิดขวด ระเบิดเพลิง ไม้ปลายแหลม บั้งไฟ ฯลฯ แล้วทหารก็ถืออาวุธร้ายแรงพร้อมกระสุนจริงออกมาเต็มเมือง ก็ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวโดยไม่จำเป็น ภาพที่รัฐบาลสร้างขึ้นนี้ ดูคล้ายศรีลังกาในช่วงที่ยังไม่เสร็จสิ้นสงครามกลางเมืองระหว่างชาวสิงหลกับชาวทมิฬ ซึ่งผมไปพบมาในปี 2550 เป็นต้น
          ถ้าความเสียหายที่รัฐบาลอ้างนั้นสูงถึงนับพันล้านจริง รัฐบาลก็ควรจะจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่เพราะเสียเงินพอ ๆ กัน หรืออาจน้อยกว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กล่าวอ้างถึงมากนัก การจัดการเลือกตั้งใหม่ในขณะที่คณะกรรมการ กกต. และองค์กรอิสระทั้งหลายก็ไม่ได้ถูกฝ่ายค้านครองงำเช่นที่เคยกล่าวอ้างในสมัยทักษิณ โอกาสของการเลือกตั้งที่ยุติธรรมจึงมีขึ้นได้อย่างแน่นอน การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอาจทำให้เกิดเงินหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก การเลือกตั้งยังเป็นการพิสูจน์ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ และเป็นการสร้างความมั่นคงระยะยาวแก่ประเทศชาติ
          แต่ถ้าวันนี้รัฐบาลเลือกเอาว่าการปราบปรามคนที่เห็นต่างจากตนด้วยกำลังอาวุธ ผมเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของประเทศไทย พวกคนไทยชั้นสูงก็จะเตรียมตัวเป็น “ไทยอพยพ” ทำวีซ่า กรีนการ์ดไปอยู่ประเทศตะวันตกได้เลย เพราะประเทศไทยที่รักยิ่งของเราก็จะเข้าสู่สงครามกลางเมืองในทันที ทรัพย์สินก็คงจะสูญค่าเหมือนครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ และถึงแม้เขมรจะได้มูลค่าทรัพย์สินกลับมาหลังสงครามสงบ เจ้าของทรัพย์ก็ไม่ใช่คนเดียวกันแล้ว!
          ผมเห็นว่ารัฐบาลควรเจรจากับคนเสื้อแดง ตั้งเป้าเจราจากันใน 10 วัน ๆ ละ 3 ชั่วโมง ถ่ายทอดสดเพียงช่องเดียวให้ประชาชนได้รับชมทั่วประเทศ ผมเชื่อว่าภายในเวลาดังกล่าว จะช่วยให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าใจความเป็นจริงมากขึ้น วางตัวได้ถูกต้องมากขึ้น ถ้าหลังจากการเจรจาคนเสื้อแดงน้อยลง ก็เท่ากับว่ารัฐบาลมาถูกทางแล้ว ถึงเวลานั้นหากใครยังดื้อแพ่ง ก็คงต้องจัดการอย่างเฉียบขาด แต่ถ้าคนเสื้อแดงเพิ่มขึ้น ก็แสดงว่ารัฐบาลควรยุบสภา

          คนตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร คือรัฐบาล ผมขอสนับสนุนให้รัฐบาลไตร่ตรองดูครับ

          ปล. ผมเขียนบทความนี้ด้วยความเป็นกลาง (บางท่านอาจบอกว่าเป็นกลางก็ผิดแล้ว) ผมไม่เคยไปชุมนุมกับคนเสื้อแดง ไม่เคยมีผลประโยชน์นอกในใด ๆ กับทักษิณ ไม่เคยพบทักษิณ (นอกจากรับรางวัลของหอการค้าไทยที่ทักษิณผู้เป็นนายกฯ ในสมัยนั้นเป็นผู้มอบ) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.facebook.com/sopon.pornchokchai